มุมมองต่อกรณีที่โดนย้ายจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมายไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง
ครั้งหนึ่งบทสนทนาหลังอาหารเย็นของเราโยงไปถึงเรื่องกรณีที่ท่านโดนย้ายจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมายไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ในสมัยที่คุณนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผมได้สอบถามมุมมองของท่านต่อเรื่องนี้ และพบว่าเป็นมุมมองที่น่าสนใจ
โดยสรุป ท่านบอกว่า เรื่องนี้มันไม่มีอะไรมาก ผมก็ทำเต็มที่ตามบทบาทหน้าที่ของผม ผมเป็นข้าราชการมีหน้าที่ใช้ความรู้ความสามารถในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ผมก็ทำตามนั้น ส่วนคุณนพดลเองก็มีหน้าที่ มีขอบเขตอำนาจของเขา และเขาก็ใช้อำนาจนั้นตามวิจารณญาณ ตามกรอบของกฎหมาย ซึ่งแต่ละคนก็ต้องรับผิดชอบต่อผลกรรมที่ตัวเองทำขึ้น ผมก็โดนย้ายไป ส่วนคุณนพดลก็ได้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาทำตามกฎหมาย ถ้าปัจจุบันเรายังเจอกันก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันเพราะต่างคนต่างทำตามบทบาทหน้าที่ ตามขอบเขตอำนาจของตนและก็รับผิดชอบผลกรรมของตัวเอง
มุมมองนี้ผมคิดว่าน่าสนใจเพราะว่า หากเปรียบเทียบกับเพื่อนพี่น้องที่เป็นข้าราชการที่ผมรู้จัก หากโดนกรณีที่ท่านวีรชัยโดน จะต้องรู้สึกหมดกำลังใจ หรือมีความโกรธ เกลียด นักการเมืองแฝงอยู่เพราะรู้สึกเป็นผู้ถูกกระทำ หรือบางคนอาจจะไม่กล้าทำอะไรเลยก็ได้ และก็ทำตามคำสั่งของนักการเมืองไป
ผมเชื่อว่ามุมมองนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านวีรชัยสามารถทำงานราชการในหน้าที่อย่างเต็มที่ได้โดยไม่หวั่นกับอิทธิพลทางการเมืองใดๆ นอกจากนี้ในเชิงครอบครัวท่านเองไม่ได้มีภาระให้กังวลมากนัก ท่านเคยพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าเกิดมีปัญหา อันตรายหรือโดนขู่ทำร้ายจริงๆ ผมก็ให้คุณลิซไปลี้ภัยที่สถานทูตสวิสได้
อย่างไรก็ดี มุมมองลักษณะนี้ไม่ได้มีกันชั่วข้ามคืน แต่ว่าสั่งสมมาเป็นเวลานานตั้งแต่เด็ก ผมทราบคร่าวๆว่าท่านเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแล้วจึงได้ทุนกระทรวงการต่างประเทศไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศส เรื่องราวที่ผมได้ฟังจากท่านที่ทำให้ทราบว่าท่านมีแนวคิดแบบนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยเด็กๆก็คือตอนที่ท่านไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง
ว่าด้วยเรื่องความโกรธ
วันที่ได้ฟังเรื่องนี้เป็นวันที่ทางสถานทูตฯนัดเลี้ยงขอบคุณคณะทำงานที่ช่วยรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในคราวเสด็จประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 2010 วันนั้นเราไปรับประทานอาหารจีนในกรุงเฮกกัน เป็นร้านประจำที่ท่านทูตมารับประทานบ่อยมาก
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ท่านทูตก็ชวนคุย ภาพลักษณ์ของท่านทูตที่มีต่อหมู่คณะทำงานของสถานทูตฯนั้นจะมีลักษณะที่ค่อนข้างเฮี้ยบ และใส่ใจในรายละเอียดมาก ผมสังเกตได้ว่าพี่ๆสถานทูตจะมีความเกรงกลัวและเกรงใจท่านอยู่มากทีเดียว แต่วันนั้นท่านก็เล่าโน่นนี่ และผมว่าทำให้บรรยากาศในวงคนทำงานเป็นกันเองมาก เรื่องที่ผมจำได้คือ ท่านถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องต้นกำเนิดของอุดง ก๋วยเตี๋ยวของญี่ปุ่น ซึ่งไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่อีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของท่านทูตด้วยก็คือเรื่องความโกรธ
ท่านทูตบอกว่า ทุกคนไม่ต้องกังวลว่าผมจะโกรธหากทำอะไรผิดพลาดเลย เพราะว่าเวลาคนทำอะไรผิดพลาดสิ่งที่ต้องทำก็คือต้องหาเหตุและแก้ไข การโกรธไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ผมจะโกรธก็ต่อเมื่อผมเห็นว่าการโกรธนั้นจะทำให้คนคนหนึ่งพัฒนาขึ้น งานหรือองค์กรพัฒนาขึ้นเท่านั้น ซึ่งน้อยครั้งมากที่ความโกรธจะทำให้เกิดประโยชน์เหล่านี้
นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผมรับเข้ามาจำใส่ไว้ในใจเพราะส่วนตัวก็เคยโกรธและเห็นผลเสียของการโกรธนั้น
ผมเลยถามท่านทูตว่า แล้วท่านทูตเคยโกรธจริงๆไหมครับ ท่านทูตตอบว่าเคย ตอนสมัยเรียนปริญญาตรีที่ฝรั่งเศส (ถ้าผมจำไม่ผิด) เรื่องมีอยู่ว่า ในปีหนึ่ง น่าจะใกล้ๆเดือนตุลาฯ นักเรียนไทยในฝรั่งเศสมีการจัดเวทีเสวนาเกี่ยวกับเรื่องเดือนตุลาฯ หรือประชาธิปไตยอะไรประมาณนี้ วันนั้นท่านทูตที่ยังเด็กยืมกล้องถ่ายรูปอันใหม่ของรุ่นพี่ท่านหนึ่งไปที่งานเสวนาด้วย แล้วก็ส่องผ่านกล้อง ถ่ายตรงโน้นตรงนี้ในงาน จู่ๆรุ่นพี่ที่อยู่บนเวทีเสวนาก็พูดขึ้นว่า “ใครใช้ให้เด็กนั่นเอากล้องมาถ่ายรูปในงานนี้!!”
ผมจำไม่ได้ว่าท่านทูตบอกหรือเปล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่จำได้ชัดว่า ท่านทูตเล่าว่า ท่านทูตเดินออกจากงานไป แล้วไปยืมเก้าอี้พับตัวหนึ่งมาจากรุ่นพี่ (เข้าใจว่าเป็นท่านที่ให้ยืมกล้อง) แล้วเดินไปที่เวที แล้วฟาดลงบนเวทีอย่างแรง! (หรือว่าจะฟาดที่พี่เค้าแล้วพลาดก็จำไม่ได้แน่ชัด) …
เหตุผลที่ท่านทูตโกรธมากนั้นน่าสนใจกว่าเรื่องราวอีก ท่านทูตบอกว่า ท่านโกรธมากเพราะว่า การที่ท่านเอากล้องไปส่องดูหรือถ่ายรูปนั้นเป็นสิ่งที่ท่านตัดสินใจทำของท่านเอง ไม่มีใครใช้ท่านให้ทำอะไรต่อมิอะไรได้ เว้นแต่ประชาชนที่จ่ายภาษีให้ท่านมาเรียนเท่านั้นแหละ การพูดอย่างงั้นเท่ากับเป็นการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์กันเลยทีเดียว คือ จะทำอะไรต้องให้คนใช้มา คิดเองไม่ได้ ท่านเลยโกรธมาก
หลังจากนั้นสำนักงานผู้แทนนักเรียนก็เรียกท่านไปคุย แต่คงเพราะว่าท่านเป็นเด็กดีมาตลอดจึงได้คุยกันด้วยเหตุผลและก็ยังคงได้เรียนต่อไป
นอกเหนือจากข้อคิดเรื่องการโกรธในการทำงานแล้ว เรื่องนี้ยังสื่อให้เห็นว่าท่านทูตเป็นคนที่มีอุดมการณ์และตระหนักในหน้าที่ที่ตนในฐานะนักเรียนทุนกระทรวงการต่างประเทศ และปัจจุบันที่เป็นข้าราชการ มาตั้งแต่สมัยวัยเยาว์กันเลยทีเดียว
(มีต่อ)